เมื่อคุณทำบาป
เมื่อคุณทำบาป คุณจะทำอย่างไร?
การถอดเสียงวิดีโอ
เราแต่ละคนต้องการความรู้สึกที่ว่า “ เราได้รับการอภัยโทษจากความบาปที่เราทำ”
แต่คำถามคือ...การอภัยโทษมาจากที่ไหน?
เมื่อคุณทำบาป
บทสนทนา
พ่อ: Hi
บนโต๊ะรับประทานอาหาร
พ่อ:โอ้ ไมกี้ thank you
พ่อ:แล้วเอมอสล่ะครับ
แม่:ตั้งแต่เขากลับมาเขายังไม่ออกจากห้องเลยนะ
พ่อ:จริงหรอ ครับ
พ่อ : เอมอส เอมอส
แม: Dad ไปดูหน่อยดีกว่า
พ่อ: OK
พ่อเดินไปเคาะประตู
พ่อ:เอมอส เอมอส เอมอสทำอะไรอยู่ คุณไม่ควรจะเล่นเกมช่วงนี้ คุณรู้แล้ว
เอมอส:เล่นแล้วมันผิดอะไร เล่นคลายเครียด ไม่ได้เล่นทุกวัน
พ่อ:เอมอส รู้ว่ากฎของเราคือไม่เล่นเกมก่อนกินข้าว
เอมอส เดินออกไปและปิดประตูเสียงดัง
เอมอส:ความบาปคืออะไร ? ครับแม่
แม่:บาปหรอ ในมุมมองคนส่วนใหญ่ เขาคิดว่า ถ้าเราทำตามหลักศีลธรรม เราทำถูก เราก็รู้สึกดี แต่ถ้าเราทำผิดศีลธรรม เราก็รู้สึกแย่ และหลายคนก็ดำเนินชีวิตตามที่เขาเชื่อแต่ว่ามุมมองของพระคัมภีร์ ความหมายของความบาปตามพระคัมภีร์ก็คือว่า เราทำตามใจของเราเอง แทนที่เราจะทำตามทางของพระเจ้า
เอมอส:แล้วพระเจ้ามองความบาปอย่างไร คือ มันสำคัญไหมในสายตาพระองค์?
แม่:พระเจ้าไม่ได้ยอมรับบาป ในฮาบากุก บอกว่าพระเนตรของพระเจ้าบริสุทธิ์เกินไปกว่าที่จะมองความบาปด้วยซ้ำไป และในพระคัมภีร์ยอห์นก็บอกอีกว่า พระเจ้าเป็นความสว่างและความมืดในพระองค์ไม่มีเลย
เอมอส:พระเยซูตายเพื่อไถ่บาปเราแล้วไม่ใช่หรอแม่ แล้วทำไมเรายังต้องห่วงเรื่องบาปอีกล่ะ เพราะพระเจ้าบอกว่ารักเราและมีแผนการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา บาปก็น่าจะเป็นแค่เรื่องความผิดพลาดแบบผิดคิวอะไรอย่างนี้หรือเปล่า
แม่:อืม น่าคิดนะ แต่จริงๆสำหรับพระเจ้านะลูก ความบาปไม่เคยเป็นเรื่องเบาๆ อย่างอาดัมกับ. เอวาทำบาปแม้เพียงครั้งเดียว เขาก็ถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์ ที่เอเดน สมัยโนอาห์น้ำท่วมโลกเพราะมนุษย์ทำบาปและพระเจ้าก็ส่งไฟมาเผาโสโดม โกโมราห์ เพราะว่ามนุษย์ทำบาปทางเพศอย่างโจ่งแจ้งด้วยเช่นกัน และอิสราเอลต้องเดินทางในถิ่นทุรกันดารถึง 40 ปี เพราะว่าอะไร
ก็เพราะว่าความบาป พระเจ้าเกลียดชังความบาป. แต่ว่าสำหรับเรา เราทำบาปเราคิดว่ามันน่าตื่นเต้นเราก็ทำมันและเราคิดว่าเราจะเหมือนอาดัมกับเอวาเพราะเรารู้จักมัน เราจะชนะบาป แต่เราไม่ได้กลายเป็นเหมือนพระเจ้าอย่างที่อาดัมกับเอวาคิด พระเจ้ารู้ว่าความชั่วร้ายมีจริง แต่ว่าพระองค์ไม่ได้เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย พระองค์ไม่ยอมให้ความชั่วร้ายเหนือพระองค์ด้วย สำหรับมนุษย์เราตรงกันข้ามเพราะว่าความบาปมันดึงดูดเราไว้เสมอ ลูกรู้เปล่าว่าลูกทำบาป พระวิญญาณก็เสียใจ แล้วก็บางครั้งพระองค์ทำให้เรารู้สึกผิดเพราะเราทำบาป เมื่อเราทำบาปเวลานั้น เราเป็นคนเลือกที่จะไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา แต่ว่าเราทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าทำให้พระเจ้าเกลียดชังเราแต่สิ่งที่พระเจ้ารู้สึกก็คือพระเจ้าเสียใจพระเจ้าเศร้าใจ นั่นเอง
เราลองคิดกันไหม ว่าความบาปส่งผลอย่างไรกับลูก? เมื่อลูกโกรธและลูกโมโห Dad
ความสัมพันธ์ของลูกกับDad ไม่ได้เปลี่ยน เพราะว่าเราเป็นพ่อเป็นลูกกัน อย่างไงก็จะเป็นอย่างนั้นแต่ว่าในความใกล้ชิดสนิทสนม เรารู้สึกเราเข้าหน้าDad ไม่ติด. อย่างนี้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเมื่อเราทำบาปไม่เปลี่ยนแปลงเพราะพระเยซูรับบาปแทนเราแล้ว ความสัมพันธ์มันอยู่ตลอดไป พระเจ้าเป็นผู้ที่รักษาความสัมพันธ์นั้นและมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงแต่ความสนิทสนมใกล้ชิดของเราหรือที่คริสเตียนเรียกว่า ความสามัคคีธรรมกับพระเจ้ามันเปลี่ยน มันจะถูกขัดขวางเมื่อเราทำบาป เราเองเป็นฝ่ายนึงที่ต้องรักษาความสามัคคีธรรมหรือความสนิทสนมนี้ด้วย และสามัคคีธรรมนี้จะเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเราทำบาต่อพระเจ้า
เอมอสเห็นแล้วว่าความบาปไม่ได้ส่งผลความสัมพันธ์นิรันดร์ของเรากับพระเจ้าแต่ว่า เพราะว่าความสัมพันธ์มันถูกสถาปนาขึ้นเมื่อเราไว้วางใจในพระเยซู พระเยซูตายแทนบาปของเรา พระเยซูจ่ายแทนบาปของเราทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตแล้วลูกเองได้รับการยกโทษทั้งหมดแล้ว
แต่ความบาปจะส่งผลสามัคคีธรรมระหว่างลูกกับพระเจ้า ซึ่งหมายถึงความสนิทสนมใกล้ชิดความเป็นเพื่อนกับพระเจ้ามันถูกกระทบเมื่อความบาปมันเกิดขึ้น มันส่งผลทั้งการสื่อสารกับพระเจ้าแล้วการที่พระเจ้าจะใช้เราให้ทำงานของพระองค์ ความบาปทำให้การจะคิดแบบพระเจ้าทำในสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำมันมืดมัวไปมันมองไม่ชัด
ในสดุดีบทที่ 32 ข้อ 3 ถึง 5 บอกว่า
“เมื่อข้าพระองค์ไม่สารภาพบาป ร่างกายของข้าพระองค์ก็ทรุดโทรมลงไป ในการคร่ำครวญวันยังค่ำ พระหัตถ์ของพระองค์ก็หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืน กำลังข้าพระองค์ก็เหือดแห้งไป อย่างถูกความร้อนในหน้าแล้ง ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์และข้าพระองค์ มิได้ปกปิดความชั่วของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าพระองค์จะสารภาพ การละเมิดของข้าพระองค์ต่อพระยาเวห์” แล้วพระองค์ทรงอภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์
เอมอส: การสารภาพและการกลับใจ มันเป็นอย่างไร
แม่:การสารภาพเป็นการเห็นด้วยกับพระเจ้าในเรื่องความบาปของเรา เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นความบาป ดังนั้นพระเจ้าก็รู้เช่นกัน เราก็ควรจะซื่อสัตย์กับพระเจ้าในเรื่องนี้
พระคัมภีร์ 1ยอห์น บทที่1 ข้อ9 แม่เคยบอกให้ลูกท่องที่บอกว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงยกโทษบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
การสารภาพไม่ใช่ว่าเราอ้อนวอนขอการอภัยโทษจากพระเจ้า เพราะว่าพระเยซูตายโทษแทนบาปของเราทั้งหมดแล้ว พระเจ้าประทานการอภัยโทษบาปโดยอัตโนมัติเมื่อเราสารภาพ เหตุผลที่พระเจ้าทำได้ทันทีทันใดอย่างนั้นเพราะพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วบนไม้กางเขนเพื่อเรา
การกลับใจหมายถึง เราเปลี่ยนท่าทีการกระทำของเราเกี่ยวกับเรื่องบาปนั้นๆเป็นการเห็นด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีนบาปและเราไม่ต้องการทำบาปนั้นซ้ำอีก
เอมอส:ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้วล่ะ ผมทำผิดต่อ Dad ผมก็จะไปยอมรับและขอการยกโทษ. ก็จะทำให้มองหน้า Dad ติด ไปขอโทษ Dad ก่อน นะครับ
แม่: อืม ไปเลย ลูกไปเลย
เอมอส: Dad ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย
พ่อ: Sure
เอมอส: คือ สำหรับทั้งหมดที่ผ่านมาวันนี้ขอโทษที่ทำผิดกฎของบ้าน พูดอะไรไม่ดีใส่ อาจจะทำให้ Dad เสียใจ ก็ขอโทษนะครับ
พ่อ:ไม่เป็นไร เอมอส ขอบคุณมากครับ พ่อให้อภัยและก็ อย่าทำแบบนี้อีกก็ได้ มันจะทำให้บ้านเราไม่มีความสุข รักลูกนะครับ
เอมอส : ลูกก็รัก Dad นะครับ
พ่อ:ทำไมหน้าตา เอมอสไม่สบายใจขนาดนั้นครับ
เอมอส:ยังรู้สึกผิดอยู่ครับ
พ่อ:เมื่อลูกสารภาพ Dad ก็ยกโทษให้เอมอสแล้ว Dad อยากบอกลูกว่า มีเวลาที่ลูกยังคงรู้สึกผิดแม้ว่าได้สารภาพเรียบร้อยแล้ว ส่วนนึงของการสารภาพบาปคือการขอบคุณพระเจ้า ความบาปของเราได้รับการจ่ายแทนหมดแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ ฮีบรู บทที่ 8 ข้อที่ 12 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเราจะเมตตาต่อการอธรรมของพวกเขา และจะไม่จดจำบรรดาบาปของพวกเขาไว้เลย
เอมอส : ผมจะไม่จดจำความบาปผิด ไม่โทษตัวเอง
พ่อ:ดีแล้วครับลูก. Ok เรากลับบ้านกันนะ
บทบรรยาย
บางครั้ง เราก็เข้าใจผิดว่า การทดลองคือความบาป แต่ให้เราระลึกไว้ว่า ทุกคนต้องประสบกับการทดลองด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่พระเยซูเอง แต่พระองค์ไม่ได้ทำตามการทดลองนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงทำบาป ถ้าคุณถูกทดลองอย่าลงโทษตัวเองเลือกที่จะไม่ครุ่นคิดอยู่กับการทดลองนั้นๆและทูลขอพระเจ้าที่จะหลีกเลี่ยงการทำบาป อย่ารู้สึกผิดในเรื่องการทดลอง ผมอยากให้คุณคิดถึง
ข้อพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ บทที่ 10 ข้อ 13
“ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้