พระเจ้าทรงรักฉันจริงๆหรือ?
การรู้ว่าพระเจ้าทรงรักคุณ และทำไมจึงทรงรักคุณนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้เรามาดูในพระคัมภีร์กันว่าได้กล่าวไว้อย่างไร เกี่ยวกับความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์เพื่อเรา…
คุณสามารถเติมชื่อคุณในช่องว่างนี้ได้: “___________ เป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก”
และเหตุผลที่พระเจ้าทรงรักเราก็ไม่ใช่เพราะว่า เราปรนนิบัติรับใช้พระองค์ ไม่ใช่เพราะการที่เราพยายามทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยหรืออยู่ใต้การทรงนำของพระองค์ มันง่ายมากที่จะลืมความจริงข้อนี้ คุณอาจจะเริ่มเชื่ออย่างนี้ว่าคุณน่ารักเป็นพิเศษเพราะคุณบอกคนอื่นเกี่ยวกับพระเยซู หรือเพราะคุณอธิษฐาน หรืออ่านพระคัมภีร์ หรือไปโบสถ์ หรือ “________” แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าทำไมพระเจ้าทรงรักเรา
เหตุผลที่พระองค์ทรงรักเราก็เพราะว่า การรักคือธรรมชาติของพระองค์ องค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงรักอยู่เสมอ “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง” บทเพลงคร่ำครวญ 3:22
เราได้รับประสบการณ์และรู้สึกถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา เพราะเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์และเห็นการพรรณนาถึงความรักของพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องสงสัยว่า “สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับฉันหรือไม่?” มันเป็นจริงเพราะความเชื่อของคุณในพระเยซู...
เราได้รับการอภัยโทษบาป ได้รับการยอมรับ ภายใต้พระคุณของพระองค์ ได้รับการสวมทับด้วยความชอบธรรมของพระเยซู ได้รับการรับรองว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ได้รับชีวิตนิรันดร์ และเป็นของพระเจ้าตลอดไป
ชีวิตของเราเต็มไปด้วยการท้าทาย ความรักของพระเจ้าเป็นความจริงที่มั่นคงในท่ามกลางโลกที่ไม่มั่นคง พระเจ้าตรัสกับเราครั้งแล้วครั้งเล่าในพระคัมภีร์ เมื่อเราพบเจอกับความยากลำบาก พระเยซูทรงขอให้เราเชื่อว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าปัญหาที่เราเผชิญในโลกนี้ (ยอห์น 16:33) และพระองค์ทรงสามารถที่จะดูแลเราได้
“สำหรับพระเจ้าพระองค์นี้ พระมรรคาของพระองค์บริบูรณ์ พระสัญญาของพระเจ้าพิสูจน์แล้วเป็นความจริง พระองค์ทรงเป็นโล่ของบรรดาผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์” สดุดี 18:30
“อันความทุกข์ของคนอธรรมนั้นมีมาก แต่ความรักมั่นคงจะล้อมบุคคลที่วางใจในพระเจ้า” สดุดี 32:10
“ดูเถิด พระเนตรของพระเจ้าอยู่เหนือผู้ที่ยำเกรงพระองค์ เหนือผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์” สดุดี 33:18
“ ข้าแต่พระเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ประเสริฐสักเท่าใด ลูกหลานของมนุษย์ เข้าลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์” สดุดี 36:7
“เมื่อข้าพเจ้าคิดได้ว่า เท้าของข้าพเจ้าพลาด ข้าแต่พระเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ยึดข้าพระองค์ไว้” สดุดี 94:18
“ข้าพระองค์กราบลงตรงมายังพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และถวายโมทนาพระคุณแก่พระนามของพระองค์ เพราะความรักมั่นคงและความสัตย์สุจริตของพระองค์... ในวันที่ข้าพระองค์ร้องทูล พระองค์ได้ทรงตอบข้าพระองค์... ถึงพระเจ้านั้นสูงยิ่ง พระองค์ก็ทรงเห็นแก่คนต่ำต้อย...พระเจ้าจะทรงให้สำเร็จพระประสงค์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์” สดุดี 138:2,3,6,8
เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ฉันตกอยู่ในสถานการณ์อย่างหนึ่ง ฉันมีปัญหากับบางอย่างที่ฉันอยากเห็นมันเกิดขึ้นแต่มันก็ไม่เกิดขึ้น ฉันก็เลยไปเดินเล่นรอบๆสองสามช่วงตึก พูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด รู้สึกเหนื่อยกับการที่ไม่เห็นความคืบหน้าของสิ่งดังกล่าว
ฉันได้รับการเตือนความจำว่า ให้มอบเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้า เหมือนกับว่าพระเจ้าตรัสกับฉันว่า “เรารับเรื่องนี้ไว้แล้ว ปล่อยให้เราทำการของเราเถิด”
ถ้ามีแค่คนๆหนึ่งมาพูดอย่างนี้กับคุณ คุณก็คงรู้สึกขอบคุณอย่างมากอยู่แล้ว แต่เรามีสิทธิพิเศษของการได้ไว้วางใจในพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่มีขีดจำกัดในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ผู้ทรงทราบถึงรายละเอียดของสิ่งนั้น ณ ปัจจุบัน และในอนาคต พระองค์ทรงทราบว่าต้องทำอะไร
“ความปิติยินดีของพระองค์มิได้อยู่ที่กำลังของม้า หรือความปรีดีของพระองค์อยู่ที่ขาของมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงปรีดี ในคนที่ ยำเกรงพระองค์ และในคนที่ความหวังของเขาอยู่ในความรักมั่นคงของพระองค์” สดุดี 147:10-11
“...เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเ ราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” เยเรมีย์ 31:3
ในสวนนั้นก่อนการถูกตรึงที่กางเขน พระเยซูทรงอธิษฐานเช่นนี้ “ ข้าพระองค์ได้กระทำให้เขารู้จักพระนามของพระองค์และ จะกระทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์ จะดำรงอยู่ในเขา ข้าพระองค์อยู่ในเขา” ยอห์น 17:26
นี่คือเนื้อความหลักที่พระเยซูตรัส เราถูกเรียกให้เชื่อในพระองค์ ไว้วางใจในพระองค์ และพึ่งพาในความรักของพระองค์
“คนที่พระเจ้าทรงรักจะอาศัยอยู่กับพระองค์อย่างปลอดภัย พระองค์ทรงปกเขาไว้วันยังค่ำ และทรงประทับอยู่ระหว่างบ่า ของเขา” เฉลยธรรมบัญญัติ 33:12
“ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้า เป็นนักรบผู้ประทานความมีชัย พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะรื้อฟื้นเจ้าใหม่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” เศฟันยาห์ 3:17